โพลียูเรีย หรือ เพียวโพลียูเรีย เป็นสารกันซึมที่มีความแตกต่างจากสารชนิดอื่น เนื่องจาก Polyurea นั้นสามารถกันซึมได้ถึง100% ซึ่งโดยปกติแล้วสารเคลือบชนิดนี้ จะใช้สำหรับการพ่นกันซึม โดยเฉพาะการพ่นเคลือบพื้นในโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับพื้นที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ ต้องการความสะอาดสูง เช่นโรงงานผลิตอาหาร ไม่เพียงแค่นั้น โพลียูเรียยังใช้ในงานประเภทอื่นได้ดีอีกด้วยเช่น การพ่นเคลือบบนผิวคอนกรีต พ่นเคลือบบนอลูมิเนียม รวมถึง เหล็ก,ไม้ เป็นต้น แถมยังมีคุณสมบัติคือ ให้ความแข็งแรง ทนต่อการถูกกระแทกเสียดสี เมื่อมีการเคลือบพ่นแล้ว สามารถแห้งตัวได้ไวไม่ต้องรอนาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานพอสมควรหลังพ่นสารเคลือบชนิดนี้
ปัจจุบันโพลียูเรียในบ้านเรามีอยู่หลากหลายประเภท โดยแบ่งเป็น3ประเภทหลักๆดังนี้คือ
- RIM Polyurea เป็นสารพ่นกันซึมที่อาจจะเหมาะแก่การใช้แค่งานบางประเภท เช่น การพ่นกันชนรถโดยเป็นตัวแม่พิมพ์ แต่จะเรียกว่ากระบวนการนี้ว่า Polyurea Spray Coatings ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับการนำไปใช้เคลือบถังบำบัด หรือ ถังเก็บน้ำ เนื่องจาก RIM มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างน้อยเพียง 1-2 ปีเท่านั้น จึงเหมาะกับการพ่นเคลือบพื้นผิวธรรมดาที่ไม่ต้องการดูแลมาก
- Hybrid Polyurea แน่นอนว่าไฮบริดโพลียูเรีย นั้นดีกว่า RIM Polyurea อย่างแน่นอน เพราะมีส่วนผสมที่เกิดมาจาก Polyurethane และ Polyurea เป็นสารเคลือบที่มีอายุการใช้งานได้4-5ปี แต่เนื่องจากส่วนผสมนี้ทำให้ไม่สามารถทนต่อ Hydrolysis ที่เกิดขึ้นได้ จึงไม่สามารถใช้เคลือบแทงค์น้ำ หรือถึง พื้นที่น้ำขังได้ตลอดเวลา
- Pure Polyurea เกิดขึ้นจาก Isocyanates และ Amines โดยไม่มีการผสมสารอื่นแต่อย่างใด จึงมีความทนทานสูงกว่าสารเคลือบที่มีส่วนผสมประเภทอื่น เมื่อพ่นเคลือบแล้วสามารถแห้งตัวได้เองด้วยระบบ Auto Cure คือสามารถแห้งตัวได้แม้อุณหภูมิจะเกิดการติดลบ โดยจากการทดสอบนั้นสามารถแห้งได้ด้วยตัวเองที่อุณหภูมิ -30 องศาเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ Pure Polyurea หรือ โพลียูเรีย เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการพ่นเคลือบกันซึมกับสิ่งต่างๆได้เกือบทุกประเภท เช่น บ่อบำบัดน้ำเสีย พื้นที่น้ำขัง รวมถึงพื้นดาดฟ้าที่มีการไหลผ่านของน้ำอยู่เป็นประจำ เพราะมีอายุการใช้งานได้ถึง30-35ปีโดยเฉลี่ย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมคุณภาพของ Pure Polyurea อีกด้วย
โดยราคาโพลียูเรียในปัจจุบัน จะขึ้นอยู่กับพื้นที่ จุดที่จะใช้สารพ่นเคลือบ อาจจะมีราคาเริ่มต้น 1,000-2,000 บาท ต่อตารางเมตร โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การตั้งราคาจากผู้ให้บริการ ความยากของการทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการกำหนดขั้นต่ำตารางเมตร เพื่อวางแผนการทำงานก่อนไปหน้างานจริง ซึ่งถ้าหากคุณต้องการใช้บริการ ควรวางแผนการทำงานทุกขั้นตอน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ